โลโก้ของ Coinbase

ภาษาและภูมิภาค

ช่วงเวลาใดเหมาะสมกับการลงทุนในเงินดิจิทัลมากที่สุด

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว

ราคาของเงินดิจิทัล เช่น บิตคอยน์ มีโอกาสที่จะผันผวนได้แบบรายวัน (หรืออาจจะรายชั่วโมงเลยทีเดียว) ซึ่งสำหรับการลงทุนในทุกประเภท ความผันผวนอาจทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน อาจทำให้กลัวพลาดโอกาสที่ดี หรือแม้กระทั่งกลัวที่จะเข้าร่วมไปเลย ถ้าหากราคากำลังอยู่ในช่วงผันผวน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะซื้อ

ถ้าเป็นสถานการณ์ในอุดมคติก็ง่ายๆ แค่ซื้อเมื่อราคาตก และขายเมื่อราคาขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด แม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญเองก็ตาม แทนที่จะ “มองหาจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน” นักลงทุนหลายๆ คนมักใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า การถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar-cost Averaging (“DCA”) เพื่อลดปัญหาจากความผันผวนในตลาด โดยลงทุนเพียงเล็กน้อยในสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง เช่น เงินดิจิทัล หุ้น หรือทองคำ อย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด

DCA จะเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่เชื่อว่าสินทรัพย์ที่ตนเองลงทุนไปจะมีราคาสูงขึ้น (หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้น) ในระยะยาว และกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ก็จะต้องเจอกับความผันผวนของราคาด้วยเช่นกัน

DCA คืออะไร

DCA เป็นกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่นักลงทุนจะทยอยซื้อสินทรัพย์ในจำนวนน้อยๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยไม่พิจารณาถึงปัจจัยด้านราคา (เช่น ลงทุนซื้อบิตคอยน์มูลค่า $100 ทุกเดือนเป็นเวลาหนึ่งปี แทนที่จะซื้อเป็นมูลค่า $1,200 ในครั้งเดียว) ซึ่งกำหนดการสำหรับ DCA ของนักลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ขึ้นอยู่กับเป้าหมายส่วนบุคคล โดยกำหนดการหนึ่งอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีเลยก็ได้ 

แม้ว่า DCA จะเป็นกลยุทธ์ยอดนิยมสำหรับการซื้อบิตคอยน์ แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่แปลกใหม่อะไรสำหรับตลาดเงินดิจิทัล เนื่องจากนักลงทุนรายเก่าใช้วิธีถัวเฉลี่ยการลงทุนกันตั้งแต่สิบปีที่แล้ว เพื่อรับมือกับสภาวะตลาดหุ้นผันผวน และคุณก็คงได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA อยู่แล้ว หากคุณลงทุนทุกๆ เดือนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อการเกษียณที่นายจ้างเป็นเจ้าของ

DCA มีข้อดีอย่างไร

DCA เป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับการถือครองเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องเสียเวลาจับจังหวะที่เหมาะสม และไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้เงินทั้งหมดเพื่อลงทุนเป็น “เงินก้อน” อย่างไม่รอบคอบในช่วงที่ราคาพุ่งสูง 

หัวใจสำคัญของการลงทุนลักษณะนี้ คือ นักลงทุนจะต้องกำหนดจำนวนเงินที่จะลงทุน ซึ่งเป็นจำนวนที่พร้อมจะจ่ายได้ โดยจะต้องลงทุนอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าราคาของสินทรัพย์นั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม วิธีนี้เรียกได้ว่าเป็นการ “ถัวเฉลี่ย” ต้นทุนการซื้อตลอดช่วงระยะเวลาของการลงทุน และจะช่วยลดผลกระทบโดยรวมของราคาที่ดิ่งลงในช่วงที่มีการซื้อได้ด้วย เมื่อราคาของสินทรัพย์ตกลง นักลงทุน DCA ก็ยังซื้อได้อย่างต่อเนื่องตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในช่วงที่ราคาฟื้นตัว

ช่วงเวลาใดที่ DCA จะให้ผลลัพธ์ดีกว่าการลงทุนด้วยเงินก้อน

DCA ช่วยให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดได้อย่างปลอดภัย เอื้อให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงจากภาวะราคาตกต่ำในระยะสั้นได้อีกด้วย โดยช่วงเวลาตามตัวอย่างด้านล่างนี้ คือช่วงเวลาที่ DCA มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่เป็นไปได้ มากกว่าการทุ่มลงทุนเป็นเงินก้อนในครั้งเดียว

  • เมื่อซื้อสินทรัพย์ที่มูลค่าอาจเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากนักลงทุนคิดว่าราคามีแนวโน้มจะลดต่ำลง แต่มีโอกาสฟื้นตัวในระยะยาว นักลงทุนจะใช้วิธี DCA เพื่อลงทุนด้วยเงินสดในช่วงระยะเวลาที่คาดว่าราคาจะลดต่ำลงได้ ซึ่งถ้านักลงทุนคาดการณ์ถูก พวกเขาก็จะได้ผลตอบแทนจากการซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำลงกว่าปกติ แต่หากคาดการณ์ผิดก็ไม่มีผลมากนัก เพราะพวกเขาก็ยังมีการลงทุนอื่นๆ ในช่วงที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

  • เมื่อมีการประกันความเสี่ยงของการเดิมพันในช่วงเวลาที่ผันผวน DCA จะทำให้นักลงทุนต้องเจอกับราคาที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เมื่อตลาดเข้าสู่สภาวะราคาผันผวน กลยุทธ์นี้ก็จะช่วยเฉลี่ยผลกระทบจากราคาที่เพิ่มสูงหรือลดต่ำลงอย่างมากให้มีน้ำหนักเท่าๆ กันในพอร์ตของนักลงทุน นอกจากนี้ยังช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้เล็กๆ น้อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบของราคาสินทรัพย์

  • เมื่อไม่เสียดายที่ไม่ได้คว้าโอกาสดีๆ ไว้ และเมื่อไม่ซื้อขายตามอารมณ์ DCA เป็นวิธีการลงทุนตามหลักการที่กำหนดไว้ แต่หลายครั้ง เทรดเดอร์มือใหม่มักตกหลุมพรางของ “การซื้อขายตามอารมณ์” ที่การตัดสินใจซื้อและขายขึ้นอยู่กับปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความกลัวหรือความรู้สึกตื่นเต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้นักลงทุนจัดการพอร์ตได้ไม่ดีเท่าที่ควร (ลองนึกดูจากสถานการณ์ที่มีการเทขายเมื่อราคาตกต่ำ หรือการเดิมพันสูงในช่วงที่ผู้คนกลัวพลาดโอกาสที่เหมาะสมขณะสินทรัพย์เติบโตแบบก้าวกระโดด)

ในความเป็นจริงแล้ว DCA ให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร

แน่นอนว่า ความสำเร็จของกลยุทธ์ DCA ในแต่ละครั้งนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตลาด ถ้าหากจะอธิบายให้เห็นภาพ จะต้องลองดูจากตัวอย่างที่ใช้ราคาในโลกจริง ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ต่ำที่สุดของบิตคอยน์จนถึงปัจจุบัน หากคุณลงทุนในบิตคอยน์ที่ $100 ทุกสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2017 (ซึ่งใกล้กับช่วงราคาสูงสุดของปีนั้น) จำนวนเงินรวมทั้งหมดที่คุณลงทุนไปจะอยู่ที่ $16,300 และในวันที่ 25 มกราคม 2021 พอร์ตการลงทุนของคุณจะมีมูลค่าราว $65,000 คิดเป็นผลตอบแทนอย่างน้อย 299% จากการลงทุนของคุณ

ในทางกลับกัน การลงทุนแบบ “ทุ่มทีเดียว” เมื่อราคาพุ่งสูงขึ้นมักถูกมองว่าเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวิธีนี้ไม่ถูกต้อง หากคุณลงทุนในจำนวนเดียวกันที่ $16,300 โดยลงทุนทีเดียวทั้งหมดในวันที่ 18 ธันวาคม 2017 คุณจะขาดทุนราว $8,000 ในช่วงสองปีแรก แม้ว่ามูลค่าในพอร์ตของคุณจะฟื้นตัวกลับมาได้ แต่คุณก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรคืนจากช่วงเวลานั้น (และอาจจะยิ่งทำให้คุณกลัวจนต้องขายบิตคอยน์ไปโดยไม่ได้คิดให้ดีก่อน)

ทีนี้ลองมาดูว่าจะเป็นอย่างไร หากคุณรอให้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้วลงทุนในบิตคอยน์ $200 ทุกเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2018 จนถึงธันวาคม 2020 ในกรณีนี้ พอร์ตของคุณจะมีมูลค่ารวมเกินกว่า $13,000 เมื่อถึงปี 2020 ซึ่งถ้าลงทุนเป็นเงินก้อน พอร์ตของคุณจะมีมูลค่าอยู่ที่ $23,000 จะเห็นได้ว่าการลงทุนแบบ “ทุ่มทีเดียว” จะทำให้คุณได้กำไรมากกว่า แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่มากกว่าเช่นกัน โดยราคาที่เปลี่ยนแปลงไปมากๆ ในแต่ละครั้ง นับจากวันที่เริ่มลงทุน จะส่งผลกับเงินลงทุนทั้งหมดของคุณ

การถัวเฉลี่ยต้นทุนคือการประกันความเสี่ยงในการเดิมพันของคุณ โดยจำกัดการทำกำไรที่เป็นไปได้ตามคาด เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และเนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเสี่ยงน้อยกว่าสำหรับนักลงทุน กลยุทธ์นี้จึงลดโอกาสในการสูญเสียอย่างย่อยยับในพอร์ตลงทุน ซึ่งเกิดจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น

ถ้าหากจะหาคำตอบว่า DCA เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับคุณหรือไม่นั้น คุณจะต้องคำนึงถึงสถานการณ์การลงทุนของคุณที่แตกต่างกันออกไป และถ้าได้ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การลงทุนในรูปแบบใหม่ก็จะดีที่สุด

ดาวน์โหลดแอป