การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไร
คำจำกัดความ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะดูที่รูปแบบของข้อมูลตลาดเพื่อค้นหาแนวโน้มต่างๆ และคาดการณ์ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดในอนาคต ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะเป็นแนวทางแบบ “ภาพรวม” ซึ่งจะวิเคราะห์จากข้อมูลด้านการเงิน ชุมชนผู้ใช้ และประโยชน์ใช้สอยในอนาคตที่มีต่อโลกแห่งเป็นความจริง
วิธีการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่คุณสนใจจะซื้อขายนั้นมีอยู่มากมาย แต่มีอยู่ 2 กลยุทธ์หลักๆ ที่นักลงทุนใช้ คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพในตลาดในช่วงเวลาที่ผ่านมาของสินทรัพย์ โดยจะทำการตรวจสอบราคาและปริมาณการซื้อขายตลอดช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจถึงมุมมองในตลาดเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นว่า อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ผู้คนลงทุนเพิ่มขึ้นหรือถอนเงินทุนออก มีการซื้อขายอย่างกว้างขวางและซื้อขายในปริมาณมากหรือไม่ ซึ่งคำถามเหล่านี้คือคำถามที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ขณะที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนั้นจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาถึง “เรื่องหลักๆ” ของสินทรัพย์ ซึ่งค่อนข้างเป็นแนวทางที่เน้นภาพรวม โดยจะประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลด้านการเงินของสกุลเงินดิจิทัล ชุมชนผู้ใช้ รวมถึงการนำไปใช้ที่น่าจะเป็นไปได้ในโลกแห่งความจริง
ทั้งสองวิธีนี้เป็นสิ่งที่สำคัญในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน และสามารถนำไปใช้ได้กับทุกสิ่ง ตั้งแต่หุ้นและพันธบัตร ไปจนถึงสกุลเงินดิจิทัล และทั้งสองวิธีนี้จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์การซื้อขายได้ อีกทั้งยังช่วยให้คุณทราบด้วยว่า ช่วงเวลาใดที่คุณต้องการซื้อหรือขายสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมีลักษณะเป็นอย่างไร
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าสินทรัพย์หนึ่งๆ มีราคาสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป โดยอิงจากมุมมองของคุณเกี่ยวกับมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ดังกล่าว แล้วในอนาคต วิธีนี้จะมีประโยชน์มากขึ้นหรือไม่ ลองมาดูตัวอย่างจากอีเธอร์เรียม ซึ่งแอปพลิเคชันการเงินแบบกระจายอำนาจ (หรือ DeFi) ส่วนใหญ่ทำงานบนบล็อกเชนเฉพาะของตัวเอง ดังนั้นหากคุณคิดว่า DeFi จะเติบโต คุณก็อาจจะเดาว่ามูลค่าของอีเธอร์เรียมก็จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเช่นกัน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีลักษณะเป็นอย่างไร
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นแนวทางที่ใช้การมองจากตัวเลขเพื่อการตัดสินใจ แนวทางนี้จะมองว่ าตลาดได้ทำงานของตัวเองแล้วโดยการรวบรวมข้อมูลที่ทราบทั้งหมดจากราคาปัจจุบัน (ซึ่งคุณค้นหาได้ในแอป Coinbase หรือจากแหล่งอื่นๆ ทางออนไลน์) และจำนวนของกิจกรรมการซื้อขาย (ดูได้จากเว็บไซต์ข้อมูลเงินดิจิทัล เช่น Nomics และ CoinGecko)
เนื่องจากราคาปัจจุบันเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงแรงขับเคลื่อนในตลาดอย่างอุปสงค์และอุปทาน ผู้ที่ทำการวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์หนึ่งๆ จะทำให้เห็นถึงภาพรวมว่า ผู้คนรู้สึกอย่างไรกับสินทรัพย์ดังกล่าว ณ เวลานั้น สิ่งนี้เรียกกันว่าทัศนคติในตลาด ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่นักลงทุนใช้เพื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้มและช่วยในการตัดสินใจลงทุน
สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างไร
หากคุณไม่ได้ใช้โมเดลและเครื่องมือระดับสูงที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้ การใช้ทั้งสองกลยุทธ์นี้พร้อมกันจะให้มุมมองเกี่ยวกับการซื้อขายของคุณได้ครบถ้วนมากขึ้น โดยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะพิจารณาถึงตัวบ่งชี้จากสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อวิเคราะห์มูลค่าในระยะยาวที่เป็นไปได้ของสินทรัพย์ อย่างเช่น กิจกรรมในเครือข่าย กรณีการใช้งาน โมเดลธุรกิจ และแผนงาน ส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพในตลาดของสินทรัพย์โดยเฉพาะ
แต่ในทางกลับกัน เทรดเดอร์มืออาชีพอาจพึ่งพากลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งมากกว่า (ตลาดขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมักจะมีเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ทั้งสองนี้เป็นจำนวนมาก) ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์อาจดำเนินการวิเคราะห์ทางเทคนิคโดยใช้รูปแบบคอมพิวเตอร์ที่ตรวจสอบการเปลี่ยนแปล งด้านราคาและปริมาณอย่างละเอียด ทั้งการถดถอย ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (Relative Strength Index) และข้อมูลตลาดหุ้น หากสินทรัพย์หนึ่งๆ มีแนวโน้มที่จะผ่านวงจรของการเติบโตและการหดตัวอยู่เป็นประจำ การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยให้นักลงทุนได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับจังหวะของวงจรเหล่านี้ได้ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นถึงโอกาสในการใช้ประโยชน์จากวงจรระยะสั้นเหล่านี้
โปรดทราบว่า...
การดำเนินกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นให้ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยเดิม ดังนั้นการศึกษารูปแบบราคาจึงอาจไม่ช่วยให้คุณคาดการณ์ได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวน
คุณควรลงทุนในจำนวนที่คุณพร้อมจะจ่ายไปได้เท่านั้น ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินสามารถช่วยให้คุณพัฒนากลยุทธ์ทางการเงิน และเข้าใจถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในเงินดิจิทัลได้