โลโก้ของ Coinbase

ข่าวสารผ่านบล็อก #7: ทำความเข้าใจการ Yield Farming และความก้าวหน้าล่าสุดใน DeFi

ข่าวสารผ่านบล็อกของ Coinbase จะมาไขความกระจ่างของข้อสงสัยประเด็นหลักๆ ในโลกของเงินดิจิทัล และในฉบับนี้ Justin Mart จะมาเจาะลึกเกี่ยวกับพัฒนาการที่รวดเร็วของ DeFi และการเกิด “Yield Farming” รวมถึงข่าวที่น่าสนใจอื่นๆ ในโลกของเงินดิจิทัล

ลงชื่อสมัครใช้ Coinbase เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่นี้

DeFi และปรากฏการณ์ Yield Farming

การที่ตัวเลขในทุกมาตรวัดของโปรโตคอล DeFi พุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา จนทำให้ Total Value Locked (TVL) ทะยานเกิน 3 พันล้านดอลลาร์นั้น เป็นผลมาจากการเปิดตัวโทเค็นการควบคุมของ Compound ($COMP) และการทำ “Yield Farming” ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

มูลค่ารวมที่ถูกล็อกไว้ใน DeFi (USD) สูงขึ้นกว่า 3 พันล้าน

Yield Farming คืออะไร

โปรโตคอลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้เป็นแบบกระจายอำนาจ และสำหรับเครือข่ายระดับฐาน (เช่น บิตคอยน์และอีเธอร์เรียม) การกระจายอำนาจจะต้องอาศัย Proof of Work ที่ทุกคนสามารถขุดและรับ BTC หรือ ETH เป็นค่าตอบแทนได้ จากการช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับเครือข่าย ซึ่งวิธีดังกล่าวช่วยให้การควบคุมเครือข่ายเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย (โดยหนึ่ง CPU เท่ากับหนึ่งเสียงโหวต)

แล้วโครงการที่สร้างขึ้นบนอีเธอร์เรียมจะมีลักษณะเป็นแบบกระจายอำนาจได้อย่างไร ส่วนหนึ่งจะมาจากการกระจายอำนาจการควบคุมในรูปแบบของโทเค็นที่แจกจ่ายให้กับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้กลายมาเป็นผู้มีส่วนได้เสียได้จริง ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่ Compound (โปรโตคอลการกู้ยืม/ปล่อยกู้แบบอิสระ) ได้บุกเบิกเอาไว้นั่นเอง โดยแต่ละโครงการจะปล่อยโทเค็น $COMP ซึ่งจะให้สิทธิ์การควบคุมโปรโตคอล Compound แก่ผู้ใช้ในเครือข่าย โดยสิทธิ์นั้นจะแบ่งตามสัดส่วนการใช้งานโปรโตคอลของผู้ใช้แต่ละราย

ฟังดูดีใช่ไหม แต่สิ่งที่ต้องสังเกตนั้นมีอยู่สองข้อคือ

  • โทเค็นการควบคุม $COMP มีการคงมูลค่าไว้ในตัว Compound เป็นโปรโตคอล DeFi ชั้นนำเพื่อการกู้ยืม/ปล่อยกู้ และสิทธิ์การควบคุมเครือข่ายนี้ก็มีประสิทธิภาพมาก

  • การกระจาย $COMP แบบแบ่งตามสัดส่วนให้กับผู้ใช้โปรโตคอลนั้นนับเป็นการให้ผลตอบแทนแบบฟรี ถือเป็นโบนัสเพิ่มเติมที่มอบให้จากการใช้ Compound

เมื่อโทเค็น $COMP ถูกปล่อยออกไปแล้ว มูลค่าของโทเค็นนี้จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่ Compound เป็นโปรโตคอลอันดับต้นๆ ในระบบนิเวศ DeFi ซึ่งผู้คนในชุมชนก็จะทราบโดยทันทีว่า การเพิ่มสินทรัพย์ลงใน Compound และ/หรือการกู้ยืมสินทรัพย์จากโปรโตคอลนี้จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการกระจายโทเค็น $COMP เพิ่มขึ้น (และเมื่อถึงเวลาหนึ่ง อัตราร้อยละต่อปีอาจเพิ่มขึ้นกว่า 100%)

ดังนั้น แนวทางของการใช้โปรโตคอลเพื่อให้ได้รับโทเค็นภายในของแพลตฟอร์มนั้น จึงเรียกว่าการ “Yield Farming” หรือการฟาร์มผลตอบแทนนั่นเอง

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ Compound

การทำ Yield Farming ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่ Compound เป็นจำนวนมาก ซึ่งในหนึ่งสัปดาห์ช่วงกลางเดือนมิถุนายน มีเงินทุนไหลเข้าสู่ Compound เกือบครึ่งพันล้าน ดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่ารวมที่ถูกล็อกไว้ (TVL) พุ่งขึ้นจาก 100 ล้านดอลลาร์ เป็นมูลค่าสูงสุดที่เกิน 1.7 พันล้านดอลลาร์ไปแล้ว โดยที่ $COMP เองก็เริ่มมีการซื้อขายที่ราวๆ 80 ดอลลาร์ จากนั้นตัวเลขก็พุ่งขึ้นจนมีการซื้อขายกันมากกว่า 300 ดอลลาร์แล้ว

มูลค่ารวมที่ถูกล็อกไว้ (TVL) ของ Compound เทียบกับ USDC, ETH, DAI และอื่นๆ
ราคาและปริมาณของ $COMP ตั้งแต่ 15 ม��ิถุนายน-15 กรกฎาคม 2020 มีราคาที่สูงขึ้นหลังจาก Coinbase และแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอื่นๆ เปิดให้ซื้อขาย $COMP

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรวัดทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นจริงอย่างที่ปรากฏให้เห็น เนื่องจาก Compound ให้คุณลงทุนแบบเวียนซ้ำในเงินทุนของคุณได้ ผลตอบแทนจึงเพิ่มขึ้นได้แบบทวีคูณ ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นลำดับดังนี้

  1. เพิ่ม 100 USDC เป็นหลักประกันใน Compound (ก็จะได้รับดอกเบี้ย + $COMP)

  2. กู้ยืม 70 DAI จากหลักประกันจำนวน 100 USDC (ก็ต้องชำระดอกเบี้ย แต่ได้รับ $COMP)

  3. ขาย 70 DAI เพื่อให้ได้รับ 70 USDC กลับคืนมา (โดยซื้อขายผ่าน DEX)

  4. ย้อนกลับไปข้อ 1

การจัดเรียงเข้าด้วยกันได้ของ DeFi ช่วยให้มีคุณลักษณะใหม่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณรับผลตอบแทนได้จากหลายๆ โปรโตคอล ยกตัวอย่างเช่น คุณจะล็อก DAI เก็บไว้ใน Compound แล้วฝากโทเค็น DAI ใน Compound เข้าไปยัง Balancer เพื่อทำการ Yield Farming เพิ่มเติมก็ได้

ซึ่งช่องทางการติดตามแนวโน้มของ DeFi อย่าง defipulse.com ก็ได้ทำการชำระข้อมูล TVL ที่ได้รายงานไปแล้ว โดยนำเอาผลลัพธ์ที่กล่าวไปข้างต้นไปใช้ประกอบการชำระข้อมูลดังกล่าวด้วย และในวันที่ 23 กรกฎาคม 2020 เว็บไซต์ดังกล่าวได้รายงาน TVL ของ Compound ที่มูลค่า 550 ล้านดอลลาร์

Yield Farming ใช่ว่าจะไม่เสี่ยง

ในตลาดที่มีประสิทธิภาพ ผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้นคือภาพสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในปัจจุบัน DeFi ยังเป็นตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ผลตอบแทนของ DeFi ที่เกินขนาดก็ยังคงบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็คือ

  • ความเสี่ยงในสัญญาอัจฉริยะ: สัญญาอัจฉริยะอาจได้รับผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ เหมือนกับหลายๆ กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้ (bZxCurve และ lendf.me) ความก้าวหน้าของ DeFi ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้เงินทุนมูลค่านับล้านไหลอัดเข้าไปในหลายๆ โปรโตคอลที่กำลังเติบโต ซึ่งในส่วนนี้อาจเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้โจมตีเข้ามาหาผลประโยชน์จากช่องโหว่

  • ความเสี่ยงในการออกแบบระบบ: หลายๆ โปรโตคอลกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา ทำให้รางวัลจูงใจอาจถูกใช้เป็นผลประโยชน์อย่างไม่ยุติธรรม (ยกตัวอย่างเช่น Balancer ที่ FTX สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 50% จาก ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆในระบบ)

  • ความเสี่ยงในการสะสางหนี้: หลักประกันอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความผันผวน และระดับหนี้จะเสี่ยงต่อปัญหาการมีหลักประกันที่ต่ำเกินไปในช่วงที่ตลาดเปลี่ยนแปลงไปมา ซึ่งกลไกการสะสางหนี้อาจไม่มีประสิทธิภาพมากพอ และอาจก่อให้เกิดการสูญเสียมากขึ้นได้

  • ความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่: แรงกระตุ้นที่ทำให้ราคาโทเค็นหลักในเครือข่าย (เช่น $COMP) เปลี่ยนแปลงนั้น เป็นผลสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงนี้ เนื่องจากมูลค่าในอนาคตที่ประเมินไว้จะเป็นไปตามการนำไปใช้ ซึ่งแรงจูงใจสำหรับการนำไปใช้จะเกิดจากมูลค่าในอนาคตที่ประเมินไว้

โดยทั่วไป โปรโตคอล DeFi ที่มีเงินทุนจำนวนมากจะเป็นเหมือนเหยื่อล่อให้คนเข้ามาหาผลประโยชน์ ซึ่งในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว โปรโตคอล Balancer ก็พบเจอกับการถูกหาผลประโยชน์จากแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนรายหนึ่ง โดยถูกเปลี่ยนกฎในโปรโตคอล ถูกโจมตี และราคาโทเค็นในโปรโตคอลก็พุ่งสูงขึ้นถึง 3 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม DeFi ก็ยังถือเป็นสนามที่มีการต่อสู้กันอย่างไร้ขอบเขต ดังนั้นคุณจะต้องระวังให้ดี

ผลลัพธ์ในขั้นท้ายสุด: มุมมองจากระบบนิเวศ DeFi ที่กว้างขึ้น

ปริมาณ DEX พุ่งขึ้นจนเริ่มสูสีกับปริมาณการซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบรวมอำนาจแล้ว

ปริมาณ DEX ทะยานสูงขึ้นในช่วงเดือนที่แล้ว และเริ่มมีปริมาณสูสีกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบรวมอำนาจในบางแพลตฟอร์ม

นี่คือผลลัพธ์โดยตรงจากการ Yield Farming โดยเฉพาะในกรณีที่การกู้ยืมและปล่อยกู้แบบเวียนซ้ำจะต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนโทเค็นประเภท ERC-20 สองแบบ โดยเหรียญที่มีราคาคงที่นั้นได้รับความนิยมมากที่สุด (ตามที่ปรากฏให้เห็นในตัวอย่างด้านบน) ส่งผลให้โทเค็นของ Curve (DEX สำหรับเหรียญที่มีราคาคงที่โดยเฉพาะ) ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นเป็นอันดับต้นๆ

ปริมาณ DEX ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง: Uniswap (ERC-20) และ Curve (เหรียญที่มีราคาคงที่) นำโด่ง แต่กลไกลการ Yield Farming ส่งผลให้ Balancer, Kyber และอื่นๆ มีปริมาณมากขึ้น
ส่วนแบ่งในตลาดของปริมาณ DEX: 
Uniswap: 42.4%, Curve 17.1%, Balancer 9.8%, dYdX 7%, 0x 9%, Kyber อื่นๆ 12.1%

นอกจากนี้ DEX ก็กำลังเติบโตไปตามกลยุทธ์การเติบโตที่คล้ายคลึงกับในอดีตที่ผ่านมาและผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวช่วยให้แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนได้รับความนิยมในช่วงต้นปี 2017 จากการเปิดโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มโทเค็น/สินทรัพย์ที่ไม่ได้รวมอยู่ในแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอื่นๆ ซึ่งในกรณีนี้ DEX หลายๆ แห่งก็จะสร้างสภาพคล่องให้กับโทเค็นและโครงการ DeFi ทั้งหมดได้ โดยการสร้างโทเค็นอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนแบบรวมอำนาจไม่สามารถเพิ่มโทเค็นเหล่านั้นได้ทันท่วงที และนั่นส่งผลให้ DEX กลายเป็นแหล่งรองรับสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงกลุ่มสินทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่มากไปโดยปริยาย

ทวีตของ Hayden Adams @haydenzadams กล่าวว่า "การเงินแบบกระจายอำนาจจะเข้ามามีบทบาทสำคัญกับสินทรัพย์หลากหลายกลุ่ม"

DEX มีมูลค่าของการแลกเปลี่ยนซื้อขายมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์จากปริมาณ DEX ทั้งหมดในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ซึ่งถือว่ามากกว่าปริมาณ DEX โดยรวมของปี 2019 ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว และในขณะนี้ ปริมาณการซื้อขายที่มากเป็นประวัติการณ์ก็หลั่งไหลเข้าสู่ DEX ไม่ขาดสาย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทวิเคราะห์ใน ข่าวสารผ่านบล็อก ฉบับที่แล้วเกี่ยวกับ DEX และศักยภาพในอนาคตของแพลตฟอร์มเหล่านี้ 

เหรียญที่มีราคาคงที่ใน DeFi มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2

เหรียญที่มีราคาคงที่ที่ใช้ใน DeFi (โดยเฉพาะ Dai และ USDC) มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 จากการที่เหรียญเหล่านั้นเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสำหรับการทำ Yield Farming เพราะมีความผันผวนต่ำ จึงป้องกันความเสี่ยงในการสะสางหนี้ได้ นับตั้งแต่การเปิดตัว $COMP มูลค่าตามราคาตลาดของทั้ง USDC และ Dai มีการเติบโตขึ้นมากกว่า 50% โดยมูลค่าตามราคาตลาดของ USDC ขยับขึ้นจาก 700 ล้านดอลลาร์เป็น 1.1 พันล้านดอลลาร์ และ Dai ปรับขึ้นจาก 100 ล้านดอลลาร์เป็น 150 ล้านดอลลาร์

มูลค่าตามราคาตลาดของเหรียญที่มีราคาคงที่: USDC มีมูลค่าสูงขึ้นมากกว่า 50% จนแตะ 1.1 พันล้านดอลลาร์ หลังจากการเปิดตัว $COMP

โทเค็น ETH ทั้งหมดมีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า ETH แล้ว

มูลค่าตามราคาตลาดของโทเค็น ETH ทั้งหมดเพิ่งจะแซงหน้ามูลค่าตามราคาตลาดของ ETH เองไปเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่ามูลค่าเพิ่มสูงขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากสินทรัพย์เพียงไม่กี่อย่าง (ซึ่งก็คือ LINK และ CRO) แต่ก็ถือเป็นการพลิกผันที่น่าสนใจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในขณะนี้ ระบบนิเวศของ ETH ขยายมูลค่าออกไปได้รวดเร็วกว่าสินทรัพย์หลักที่มีต้นกำเนิดอยู่ในอีเธอร์เรียมเอง

หากคุณเชื่อในทฤษฎีโปรโตคอลหนาแน่น ทฤษฎีนั้นจะอธิบายว่า ETH มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากในท้ายที่สุด การเติบโตในระดับการใช้ประโยชน์นั้นจะเพิ่มสูงขึ้นไปในระดับฐานโครงสร้าง แต่หากคุณไม่เชื่อในทฤษฎีดังกล่าว คำถามจะตกอยู่ที่โมเดลความปลอดภัยในระยะยาวของอีเธอร์เรียม ซึ่งตามแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์อาจเป็นไปได้ว่า โมเดลดังกล่าวอาจเป็นปัญหาต่ออีเธอร์เรียมเอง จากการดึงเอามูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ในอีเธอร์เรียมออกมา

มูลค่าตามราคาตลาดของอีเธอร์เรียมเทียบกับมูลค่าตามราคาตลาดของ ERC-20 โดยรวม: การเติบโตของ DeFi ทำให้มูลค่าตามราคาตลาดของ ERC-20 มากกว่าของ ETH ได้เป็นครั้งแรก 

ล่าสุดนี้ อีเธอร์เรียมรักษาระดับมูลค่าไว้ด้วยโทเค็น มากกว่าการใช้มูลค่าที่มีอยู่เดิมของอีเธอร์เรียม

อีเธอร์เรียมเผชิญกับภาวะความแออัด ทำให้ความท้าทายด้านการปรับขนาดชัดเจนยิ่งขึ้น

ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ กิจกรรมใน DeFi ส่งผลให้ราคากลางของค่าแก๊สในปัจจุบันอยู่ที่ระหว่าง 40 ถึง 70 Gwei โดยค่าธรรมเนียมของการโอน ETH หนึ่งครั้งอยู่ที่ราว $0.35 และการทำรายการที่มีความซับซ้อนมากขึ้นอย่างการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ผ่าน DEX หรือการเข้าร่วมและถอนตัวออกจากตำแหน่งในการทำ Yield Farming ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามไปด้วย (บางครั้งอาจมากกว่า $10 ต่อธุรกรรมหนึ่งรายการ)

ค่าแก๊สในอัตราที่สูงจะมีผลเสียที่แฝงอยู่และค่อยๆ แสดงออกมา เนื่องจากอัตราที่สูงนี้จะเป็นการจำกัดให้ DeFi เข้าถึงได้เฉพาะในกลุ่มคนที่มีเงินทุนเพียงพอเท่านั้น เมื่อค่าใช้จ่ายสำหรับเข้าและถอนตัวออกจากตำแหน่งในการทำ Yield Farming อยู่ที่ $10 กลุ่มผู้ใช้ที่มียอดคงเหลือจำกัดก็จะถูกตัดออกจากกระบวนการนี้ไป

ซึ่งค่าแก๊สในอัตราที่สูงนี้ก็เป็นผลโดยตรงมาจากความท้าทายด้านการปรับขนาด แม้ว่าในปัจจุบันจะยังยืดเยื้ออยู่ แต่ความพยายามในการพัฒนา ETH 2.0 และโซลูชัน Layer-2 ก็มีความคืบหน้าที่ดูจะให้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งเราก็ต้องคอยจับตาดูต่อไปว่า ความพยายามเหล่านี้จะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไรในอนาคต

ราคากลางของค่าแก๊สในอีเธอร์เรียม (Gwei): ในปัจจุบัน (กรกฎาคม 2020) ค่าแก๊สยังไม่เคยแตะระดับนี้ นับตั้งแต่กระแสความนิยมใน ICO เมื่อปี 2017

มีโครงการ DeFi เกิดขึ้นมากมาย

  • โครงการ Wrapped BTC: โครงการ Wrapped BTC เป็นการสร้างโทเค็นอีเธอร์เรียมแบบ ERC-20 ที่แลกเปลี่ยนเป็น BTC ได้ในอัตรา 1:1 ผ่านบล็อกเชนบิตคอยน์ จึงนับเป็นการผสานเชนของ BTC กับ ETH เข้าด้วยกัน และเป็นการนำเอาข้อมูลแบบงบดุลของ BTC เข้าไปใน DeFi โครงการในลักษณะนี้มีการเติบโตที่สูงขึ้นมาก จากการที่ผู้ใช้พากันเสาะหาเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อการทำ Yield Farming โดยโครงการ wBTC ของ BitGo และ rBTC ของ Ren เป็นโครงการที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ โดยมี BTC มูลค่าราว 140 ล้านดอลลาร์ล็อกอยู่ในสองโครงการนี้ (แต่ wBTC มีมากกว่า ด้วยมูลค่า 130 ล้านดอลลาร์)

  • Balancer: ผู้ให้บริการสภาพคล่องและ DEX ในลักษณะเดียวกับการเปิดตัวของ Uniswap ที่ให้โทเค็นการควบคุมสำหรับทำ Yield Farming โดย Balancer เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยมูลค่า TVL ที่ทะลุ 200 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว

  • Aave: โปรโตคอลการกู้ยืม/ปล่อยกู้ที่คล้ายกับ Compound แต่มีบริการ Flash Loan เสริมเข้ามาด้วย อีกทั้งยังมีโทเค็นการควบคุมภายในอย่าง $LEND และมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ไม่เหมือนใคร โดยมูลค่าของ $LEND นั้นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตามมูลค่าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของ $COMP ไปติดๆ และ TVL ของ Aave ก็พุ่งสูงขึ้นถึงกว่า 450 ล้านดอลลาร์เช่นกัน

  • Synthetix: เป็นโปรโตคอลสินทรัพย์อนุพันธ์ที่ใช้โทเค็นแทนสัญญา (Synthetic Asset) ในอีเธอร์เรียมที่มีกลไก Yield Farming แบบทั่วไป ซึ่ง Synthetix ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าทึ่งเช่นกัน โปรโตคอลนี้มี sUSD เงินดอลลาร์ในลักษณะสินทรัพย์อนุพันธ์ที่ใช้โทเค็นแทนสัญญา ซึ่งล่าสุดก็ทำมูลค่าได้ดีในช่วงที่เหรียญที่มีราคาคงที่ราคาพุ่งสูงขึ้น

  • yEarn Finance: เป็นชุดผลิตภัณฑ์ DeFi ซึ่งมีบริการจัดการสินทรัพย์ด้วยระบบอัตโนมัติที่จะแบ่งฝากสินทรัพย์ของคุณไว้ในหลายๆ โปรโตคอลที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด โดยโครงการนี้ได้ออกโทเค็นการควบคุม ($YFI) ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งโทเค็นดังกล่าวมีคุณลักษณะที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือ โทเค็นนี้จะไม่มีผู้ถือครองก่อนหน้า ไม่มีการรับเงินทุนจากภายนอก มีอุปทานที่คงที่ โดยผู้ใช้จะได้รับโทเค็นจากการ Yield Farming ซึ่งหลังจากเปิดตัวไปแล้ว เงินทุนก็หลั่งไหลเข้ามาในกระบวนการ Farming และมีอัตราผลตอบแทนสูงถึง 1,000% ต่อปี

  • โครงสร้างพื้นฐาน: Chainlink ที่มีเป้าหมายในการเป็นสะพานออราเคิลที่ขับเคลื่อนกลุ่ม Dapps สำหรับเงินดิจิทัลและ DeFi ทำสถิติ ATH ขึ้นไปได้ถึง $8 และไต่อันดับเข้าสู่มูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด 10 อันดับแรกได้ ขณะที่ InstaDapp ก็เติบโตขึ้น โดยมี TVL พุ่งสูงถึงเกือบ 200 ล้านดอลลาร์ นับเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เรียบง่าย ซึ่งรักษาตำแหน่งในการเป็นแพลตฟอร์ม Yield Farming อันดับต้นๆ เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

  • อื่นๆ: Ampleforth เองก็มีการเติบโตของ “โทเค็นที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับสินทรัพย์อื่น” ซึ่งแตกต่างจากโทเค็นอื่นๆ ขณะที่ UMA ก็ได้ออกโทเค็น COMP แบบอนุพันธ์ (yCOMP) ที่เปิดให้มีการขายชอร์ตและให้ผลตอบแทนเป็นดอลลาร์สำหรับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยคงที่ ส่วน mStable ก็ได้เปิดขายโทเค็นเพื่อสร้างมาตรฐานในโปรโตคอลเหรียญที่มีราคาคงที่ของตน และ bZx ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบริการแจกจ่ายโทเค็นการควบคุมของ Uniswap

สรุปความ: กิจกรรมที่ว่านี้เกิดขึ้นจริงตามที่ปรากฏหรือไม่

มาตรวัดที่น่าพึงพอใจทั้งหมด จากทั้งมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตที่พุ่งทะยานของมูลค่าที่ถูกล็อกไว้ ทั้งหมดเกิดขึ้นจริงตามที่ปรากฏให้เราเห็นหรือไม่

เราได้ให้ความเห็นไปก่อนหน้านี้แล้วว่า มูลค่าที่ล็อกไว้อาจถูกนำไปใช้เพื่อหาผลประโยชน์ จากการนำสินทรัพย์ไปฝากหรือทบเพิ่มในหลายๆ โปรโตคอลแบบเวียนซ้ำ แน่นอนว่า ผลลัพธ์ของวิธีการนี้จะออกมาแตกต่างจากที่คาดไว้ ลองพิจารณาจากการที่ Compound นำเอา DAI มาไว้ในโปรโตคอลของตนเอง แต่กลับระบุจำนวน DAI ภายใน Compound มากกว่าจำนวน DAI ที่มีอยู่จริง การระบุจำนวนเกินจริงแบบนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้ DAI ของเดิมที่ใช้ไปแล้วแบบเวียนซ้ำเรื่อยๆ ซึ่งเริ่มจากการจัดหา DAI เข้ามาจำนวนหนึ่ง จากนั้นปล่อยกู้ออกไป แล้วเติมจำนวน DAI ให้ครบตามเดิม โดยทั้งหมดจะใช้ DAI ของเดิมที่เคยใช้ไปแล้ว

มาตรวัดอุปสงค์ของ DAI ใน Compound: 
ปริมาณที่มีทั้งหมด: 674.07M ปริมาณที่มีการกู้ยืมทั้งหมด: 632.45M 
APY จากปริมาณที่มีทั้งหมด: 6.05%, APY จากปริมาณที่มีการกู้ยืมทั้งหมด 6.81%

ดังนั้น หากเราไม่พิจารณาจากมูลค่า TVL ที่ตราไว้ แล้วเราจะอธิบายถึงตัวเลขผู้ใช้ที่เข้าถึง DeFi ได้อย่างไร

ตัวเลขเหล่านั้นแทบจะไม่ได้เกี่ยวโยงกับการเติบโตของแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนยอดนิยมในตลาด (เช่น Coinbase ที่มีบัญชีผู้ใช้กว่า 35 ล้านบัญชี) แต่แนวโน้มของ DeFi ก็ยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 100% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน และอย่าลืมว่าใน DeFi ไม่มีการเปิดให้ใช้งาน “บัญชี” โดยมีเพียงแค่ที่อยู่แบบไม่ซ้ำกัน ตัวเลขดังกล่าวจึงเป็นข้อมูลที่ใช้ได้แบบผิวเผินเท่านั้น

จำนวนผู้ใช้ DeFi ในแต่ละช่วงเวลา (มกราคม 2018-กรกฎาคม 2020): ยังคงมีความเกี่ยวเนื่องกับบริการแบบรวมอำนาจไม่มากนัก เติบโตขึ้น 30% นับตั้งแต่มีการเปิดตัว $COMP มีผู้ใช้ใหม่ราว 6 หมื่นราย

จากข้อมูลทั้งหมดจึงค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ปรากฏการณ์ DeFi ก็ยังเป็นปรากฏการณ์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อผู้ใช้เงินดิจิทัลที่ชำนาญแล้ว ซึ่งสามารถหาวิธีใช้กระเป๋าเงินแบบควบคุมได้เอง รวมถึงเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสที่แฝงอยู่ในแต่ละสถานการณ์

แต่อย่างไรเสียก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยมาตรวัดต่างๆ เหล่านั้น แม้ว่า TVL มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ของ DeFi ทั้งหมดนั้นจะคิดรวมจากกลไกการสร้างผลตอบแทนแบบเวียนซ้ำ แต่การจะตั้งข้อสงสัยกับตัวเลขดังกล่าวก็เป็นไปได้ยาก ซึ่งแนวโน้มของการเติบโตและการนำเอา DeFi ไปใช้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และ DeFi เองก็เป็นก้าวสำคัญของเงินดิจิทัลในยุคปัจจุบัน

มูลค่าและการให้ผลตอบแทนในลักษณะนี้จะมีความเสถียรหรือไม่

หากลองมองแบบย้อนกลับ เราจะเห็นวงจรที่ชัดเจนดังต่อไปนี้

  1. โปรโตคอลเพิ่มโทเค็นการควบคุมแบบ Yield Farming

  2. มูลค่ารวมที่ถูกล็อกไว้ หรือ Total Value Locked (TVL) เพิ่มขึ้น จากการที่ผู้ใช้สะสมมูลค่าโทเค็นการควบคุมเอาไว้

  3. มูลค่าของโทเค็นการควบคุมเพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับตัวเลขของ TVL และมาตรวัดต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

  4. รางวัลจูงใจสำหรับการทำ Yield Farming เพิ่มสูงขึ้น ย้อนกลับไปสู่ข้อ 2 อีกครั้ง

วงจรในลักษณะนี้มักเป็นตัวบ่งชี้ถึงมูลค่า ซึ่งแยกออกมาจากการพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม นี่คือการเติบโตขั้นริเริ่มตามประวัติศาสตร์ของเงินดิจิทัล ซึ่งรางวัลจูงใจในรูปแบบสินทรัพย์มูลค่าสูงนั้นช่วยกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้มากขึ้นในหมู่ผู้ใช้ และทำให้ผู้คนจากภายนอกทลายกำแพงที่ขวางกั้นพวกเขาเพื่อมาเข้าร่วมในระบบการเงินนี้ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แพลตฟอร์มต่างๆ ก็ยิ่งทำงานได้อย่างราบรื่นมากขึ้น รูปแบบการสร้างรายได้ก็พัฒนาไปมากขึ้น และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น

เหตุการณ์นี้จึงมีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิตคอยน์ในปี 2013 ซึ่งในปีนั้นมีเพียงบุคคลที่ได้รับเลือกให้ถือครองบิตคอยน์เพียงไม่กี่คน แต่การเปลี่ยนแปลงของราคานั้นช่วยกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้ และผลักดันให้บิตคอยน์เติบโตไปได้มากขึ้น แม้ว่าจุดหมายปลายทางจะต้องเผชิญกับอุปสรรคอยู่บ้าง (ซึ่งก็คือ Mt. Gox) แต่เส้นทางนี้ก็ราบรื่นขึ้นกว่าเดิมมากเมื่อเวลาผ่านไป

ในปัจจุบัน การให้ผลตอบแทนของ DeFi ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้ในระดับเดียวกันกับเงินดิจิทัล แต่มีเพียงแค่กลุ่มผู้ใช้เงินดิจิทัลที่ชำนาญเท่านั้นที่จะเข้าไปเคลื่อนไหวในวงจรการสร้างผลตอบแทนได้ ถึงแม้ว่าตัวเลขเหล่านั้นจะมีความคลุมเครืออยู่บ้าง แต่การจะตั้งข้อสงสัยกับแนวโน้มที่ปรากฏกลับเป็นไปได้ยาก อีกทั้งผลิตภัณฑ์และประสบการณ์การใช้งานก็จะพัฒนาไปในแนวทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ลงชื่อสมัครใช้ Coinbase เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่นี้

รวมประเด็นที่น่าสนใจ: บทวิเคราะห์จากข่าวใหญ่

ลิงก์

ข่าวจาก Coinbase

ข่าวสารจากแวดวงเงินดิจิทัล

ข่าวเงินดิจิทัลในระดับสถาบันและองค์กร

ข่าวสารในแวดวงธุรกิจเกิดใหม่ด้านเงินดิจิทัล

ความคิดเห็นที่แสดงออกผ่านเว็บไซต์นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับ Coinbase และไม่ใช่บุคคลที่เป็นผู้แสดงออกถึงมุมมอง ความคิดเห็น และตำแหน่งทางการตลาดของ Coinbase ข้อมูลจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีขึ้นเพื่อใช้เป็นคำแนะนำประกอบการลงทุน หรือเป็นคำแนะนำอื่นใดที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน Coinbase ไม่รับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความทันต่อเวลา ความเหมาะสม หรือความถูกต้องของข้อมูลใดๆ ในเว็บไซต์นี้ และจะไม่รับผิดต่อข้อผิดพลาด การละเลย หรือความล่าช้า หรือการสูญเสีย การบาดเจ็บ หรือความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการแสดงหรือใช้ข้อมูล รูปภาพทั้งหมดที่ปรากฎในนี้เป็นทรัพย์สินของ Coinbase และเครื่องหมายการค้าทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของเครื่องหมายการค้าแต่ละราย นอกเสียจากว่าจะรับทราบเป็นอย่างอื่น

เว็บไซต์นี้มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของบุคคลที่สามหรือเนื้อหาอื่นๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ("เว็บไซต์ของบุคคลที่สาม") เว็บไซต์ของบุคคลที่สามไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของ Coinbase, Inc. หรือบริษัทในเครือ ("Coinbase") และ Coinbase จะไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหาในเว็บไซต์ของบุคคลที่สามใดๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ลิงก์ต่างๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม หรือการเปลี่ยนแปลงหรือการอัปเดตใดก็ตามในเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม Coinbase จะไม่รับผิดชอบต่อการส่งต่อวิดีโอทางเว็บหรือการส่งต่อรูปแบบใดก็ตามที่ได้รับจากเว็บไซต์ของบุคลลที่สาม Coinbase แจ้งลิงก์เหล่านี้ให้คุณทราบเพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และการรวมลิงก์ใดๆ นี้ไม่ถือว่า Coinbase รับรอง อนุมัติ หรือแนะนำเว็บไซต์หรือมีเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้ให้บริการของเว็บไซต์ดังกล่าว

ซื้อบิตคอยน์ภายในไม่กี่นาที

เราเป็นผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับลูกค้ารายย่อยและบริษัทต่างๆ ในการซื้อ ขาย และจัดการเงินดิจิทัล

ดาวน์โหลดแอป